ต่อเนื่องจากเมียพระราชทาน ที่ mymanly ได้นำเกร็ดความรู้มาฝากไว้บทความที่แล้ว รอบนี้มีสาระความรู้อิงประวัติศาสตร์ไทย เรื่องบาทบริจาริกาของพระมหากษัตริย์กันบ้าง โดยกล่าวสรุปย่อ ๆ มาให้แล้ว ดังต่อไปนี้

ตามกฏมณเฑียรบาลของราชสำนักกษัตริย์ไทยในอดีต นิยมให้พระเจ้าแผ่นดินมีพระมเหสีและข้าบาทบริจาริกาจำนวนมาก เพื่อเป็นการแสดงถึงบุญบารมีของพระมหากษัตริย์ และยังเกี่ยวข้องกับทางการเมือง เป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรี พึ่งพาอาศัย และค้ำจุนอำนาจสถาบันพระมหากษัตริย์ ระหว่างเจ้าแผ่นดินกับขุนนางให้แน่นแฟ้น ทำให้มักมีเหล่าขุนนางหรือพ่อค้ามักนำลูกหลานมาถวายตัวเป็นข้าบาทบริจาริกา เพื่อหวังพึ่งบารมี ยศ และฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รวมไปถึงชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล

การถวายตัวเป็นบาทบริจาริกาของกษัตริย์

เหล่าราชบริพาร ขุนนาง และพ่อค้าในสมัยอดีต มักนำธิดาหรือหลานสาวทูลเกล้าถวายตัวให้เป็นบาทบริจาริกาของกษัตริย์  เพื่อพยุงฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ทำให้เจ้าแผ่นดินของไทยมีหญิงมากมายคอยปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิดอยู่ในวัง หากหญิงใดเป็นที่พอพระทัย จะถูกเรียกรับใช้อย่างใกล้ชิด เป็นนางสนองพระโอษ และมีการเลื่อนยศไปตามลำดับ 

บาทบริจาหมายถึงอะไร 

ความหมายของคำว่า บาทบริจา มาจากคำที่ประกอบไปด้วย 

  • บอริ- : หญิงรับใช้  
  • บาท : เท้า , เท้ากษัตริย์ 

ดังนั้น บาทบริจาริกา คือ หญิงที่มีหน้าที่ปฏิบัติรับใช้พระเจ้าแผ่นดิน หรือ นางสนองพระโอษฐ์ของพระมหากษัตริย์ (ภรรยาน้อย) หมายถึง ภรรยาของพระบรมของพระมหากษัติย์ กรมพระราชวังบวร และ เจ้าฟ้า มีฐานันดรตั้งแต่ หม่อมราชวงศ์หญิงลงไป ตั้งแต่ธิดาของพระบรมวงศานุวงศ์ ไปจนถึงภรรยาที่มาจากฐานะสามัญชน ซึ่งมีทั้งที่ตัดคำแล้วใช้เพียงแค่ “บริจาริก” หรือ “บริจา” เช่น บาทบริจา , ทารบริจา และ อรรคบริจา เป็นต้น 

สำหรับสาวชาวบ้านสามัญชนทั่วไป เมื่อได้เป็นพระสนมเจ้าจอมแล้ว จะยงคงถือเป็นสามัญชนอยู่ มิได้มีฐานันดาศักดิ์เป็นเจ้า แต่ถ้าหากมีพระโอรสหรือพระธิดา จะได้เลื่อนเป็น “เจ้าจอมมารดา” และ “เจ้าคุณจอมมารดา” ส่วนลูกจะมีฐานันดรศักดิ์เป็น เจ้าชายหรือเจ้าหญิงชั้นโท 

บาทบริจาริกามีอะไรบ้าง 

บาทบริจาริกา มีลำดับ 4 ชั้น ได้แก่ 

  1. พระสนมเอก 
  2. พระสนม
  3. เจ้าจอม 
  4. นางอยู่งาน

พระสนม 

พระสนม คือ เจ้าจอมมารดา หรือ เจ้าจอมอยู่งาน ได้รับพระราชทานหีบหมากทองคำลงยาราชาวดีเป็นเครื่องยศ โดยพระสนมจะแบ่งออกเป็น 2 ชั้น คือ 

  • พระสนมเอก ได้รับพระราชทานเครื่องยศ หีบหมากทองคำลงยาราชาวดี พานทอง และเครื่องทองคำอย่างใหญ่ 
  • พระสนมโท ได้รับพระราชทานเครื่องยศ หีบหมากทองคำลงยาราชาวดี พานทอง และเครื่องทองคำอย่างน้อย 

เจ้าจอมอยู่งาน 

เจ้าจอมอยู่งาน คือ นางอยู่งาน ได้รับพระราชทานเครื่องยศ หีบหมากทองคำ และหากมีพระราชโอรส พระราชธิดา จะได้เลื่อนเป็น “เจ้าจอมมารดา” 

นักสนม 

นักสนม คือ บาทบริจาริกา ถวายการรับใช้ในพระราชมนเทียร จึงเรียกอีกอย่างว่า “นางอยู่งาน” ซึ่งไม่มียศเป็นเจ้าจอมหรือจอมมารดา ได้รับพระราชทานหีบหมากเงินกะไหล่ทองเป็นเครื่องยศ

ตามหลักในบรรดาภรรยาของกษัตริย์ไทย บาทบริจาริกา หมายถึง สตรีวัยรุ่นไปจนถึงวัยสาว หากได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เข้ารับราชการในชั้นแรก มีหน้าที่เป็นพนักงานชั้นนางพระกำนัล และเมื่อได้เข้าถวายตัวเป็นบาทบริจา ได้รับพระราบทานหีบหมากทองคำ เป็นเครื่องประดับยศ จะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “เจ้าจอมหีบทอง” ถือเป้นข้าบาทบริจากาตามพระราชกำหนดกฏมนเฑียรบาล เป็นที่ต้องห้าม และต้องอยู่ภายใต้การปกครองการดูแลของพระอัครมเหสี พระสนมชั้นผู้ใหญ่ หรือ พระราชเทวี พระองค์ใดพระองค์หนึ่งที่มีอาวุโสสูงกว่า

แต่สำหรับบาทบริจาที่ไม่ได้มีการถวายตัว ก็มักจะเป็นที่หมายปองของเหล่าข้าหลวง ราชการยศตำแหน่งสูง ที่ติดตามรับใช้พระมหากษัตริย์อย่างใกล้ชิด เพราะถือว่าเหล่านางบาทบริจาริกา คือ หญิงสูงศักดิ์ มีความเพียบพร้อมในทุกด้าน เพราะได้รับการอบรมวิชาจากสำนักราชวัง มีดีทั้งในการบ้านการเรือน งานครัว และการปกครองบริวาร หากได้แต่งงานด้วย เพิ่มศักดิ์ เพิ่มศรีให้กับเรือนของตน ด้วยเหตุนี้ ทำให้ผู้ที่มีลูกหลานสาว นิยมส่งตัวเข้าวังเพื่อถวายตัวเป็นบาทบริจาริกา เพราะมีโอกาสได้เขยที่มียศใดศักดิ์หนึ่ง เสมือนได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง

ทำไมหญิงที่ถวายตัวบาทบริจาต้องทาหน้าทาตัวสีขาว

การจะถวายตัวเป็นบาทบริจาริกาในคืนแรก (ถวายตัวเป็นเมีย) ตามพระราชประเพณีโบราณ จะมีการจัดเตรียมเครื่องแต่งตัว เครื่องประดับ และแต่งหน้าแก่สตรีที่จะถวายตัว ให้เสมือนว่าเป็นดั่งนางฟ้าเทพธิดา เพราะเป็นลักษณะของนางเทพธิดาในอุดมคติของคนสมัยนั้น คือ ใบหน้าขาว ผิวขาวงามผ่อง ผมดำขลับ คิ้วโก่งดั่งคันศร ปากแดงดั่งสีชาด จึงต้องทาผิวหน้าผิวกายหญิงที่จะถวายตัวด้วยสีขาว รวมถึงการตกแต่งใบหน้าดังกล่าว และเพื่อให้ได้มองเห็นโครงหน้าและรูปร่างได้ชัดเจน เพราะสมัยก่อนจะใช้การจุดเทียนไขให้แสงสว่างในยามค่ำคืน ไม่มีไฟฟ้าอย่างปัจจุบัน ดังนั้นต่อให้จุดเทียนเป็นร้อยเล่ม ก็ยังไม่สว่างเท่าแสงจากหลอดไฟฟ้านั่นเอง